ตลาดนัดรถไฟ ศรีนครินทร์

ก่อนหน้านี้เราเคยได้พาเพื่อนๆ ไปเที่ยวกันที่ ตลาดนัดรถไฟ กันมาแล้วครั้งนึงนะครับที่จตุจักร กับตลาดยามเย็นบรรยากาศชิลล์ๆ มีสินค้ามากมายหลายชนิด ทั้งเสื้อผ้า ของแต่งบ้าน ของมือสองสวยๆ ซึ่งตอนนี้ ตลาดรถไฟนั้นได้ย้ายที่ตั้งใหม่แล้วมาอยู่ที่ ศรีนครินทร์ บริเวณหลังห้างซีคอนสแควร์ครับ วันนี้เลยพาเพื่อนๆ มาเดินเล่นกันอีกครั้งครับ ที่ใหม่ แต่บรรยากาศเดิม 😀

แต่เดิมนั้น ตลาดนัดรถไฟ ที่จตุจักร ด้วยความที่เป็นตลาดนัดบรรยากาศแบบย้อนยุค มีสินค้าหลากหลาย เป็นแหล่งรวมเฟอร์นิเจอร์ ของสะสม ของตกแต่งบ้านสุดคลาสสิก รถโบราณ อะไหล่รถคลาสสิก ทำให้ค่อยๆ ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นตลาดยอดนิยมแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ แต่ต่อมามีปัญหาเรื่องที่ดินกัน ก็เลยต้องย้ายมาที่ใหม่คือ ศรีนครินทร์ โดยมีการปรับปรุงใหม่ แบ่งโซนเป็นสัดส่วนมากขึ้นครับ การเดินทางมายัง ตลาดนัดรถไฟ ศรีนครินทร์ นี้ก็ไม่ยากครับ ถ้ามาจากทางพัฒนาการ – อ่อนนุช ก็วิ่งเข้าถนนศรีนครินทร์ เลยห้างซีคอนสแควร์มาอยู่ซ้ายมือ สามารถนำรถเข้ามาจอดได้ครับ หรืออาจจอดที่ลานจอดรถด้านข้างของซีคอนสแควร์ซึ่งอยู่ติดกับตลาดนัดรถไฟ แล้วเดินไปก็ได้ครับ จะมีบันไดเล็กๆให้ปีนข้ามเข้าตลาดได้เลยครับ ^^

โซนพลาซ่า เมื่อเข้ามาถึงด้านหน้า เราก็จะพบกับ โซนพลาซ่า ก่อนนะครับ ภายในก็ยังมีสินค้ามากมายหลากหลายจำหน่ายเช่นเคยครับ ทั้งเสื้อผ้าวัยรุ่น ชาย-หญิง เสื้อผ้ามือสอง รองเท้า กระเป๋า ของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เดินไปเรื่อยๆตามทางก็เจอของมากมาย ให้หยุดดูหยุดเลือกได้ทั้งนั้นครับ ภายในตลาดมีทั้งโซนนอกร่ม และในร่ม ด้านในก็มีบูทร้านค้าหลายร้านเช่นเดียวกับบริเวณด้านนอก ถ้าหากเดินจนเหนื่อย ก็สามารถแวะนั่งพักร้านน้ำต่างๆ ที่มีอยู่หลากหลายร้านได้ครับ ทั้งร้านกาแฟ ร้านชา ร้านน้ำปั่น น้ำหวาน มีให้เลือกทานกันให้สดชื่นหายเหนื่อย เดินชมภายในบริเวณโซนในร่มจนทั่วแล้ว ก็เดินทะลุจนออกมาอีกด้านหนึ่ง เป็นโซนตลาดนัด ซึ่งเป็นโซนใหญ่เลยทีเดียวครับ

โซนตลาดนัด เดินมาถึงโซนนี้ก็ต้องตกใจ เพราะคิดว่าตอนแรกตลาดรถไฟจะมีแค่โซนที่ผ่านมาครับ เดินมาถึงด้านในจะพบว่ากว้างมาก และคนเยอะคึกคักมากครับ บรรยากาศจะคล้ายๆ ตลาดนัด แต่สินค้าจะมีความเป็นตลาดนัดรถไฟ บรรยากาศเก่าๆ ถูกใจคนชอบของวินเทจ ของย้อนยุคแน่นอนครับ ผู้คนมากมายที่ชื่นชอบ ก็ต่างเลือกชมเลือกซื้อสินค้าภายในโซนนี้ เรียกได้ว่า เดินกันจนมืดก็ยังดูไม่หมดครับ จุใจจริงๆ

เสื้อผ้าวินเทจ รองเท้ามือสอง มีให้เลือกหลายร้าน ต่อราคาได้ตามถนัดครับ หากคิดว่าแพงของแบบนี้ แล้วแต่ความชอบครับ แต่ก็ต้องระวังนะครับ ตาดีได้ ตาร้ายเสีย ลองเลือกชมกันดูครับ ที่อยากฝากเพื่อนๆที่จะไปเดินกันไว้ก็คือ ให้ระมัดระวังทรัพย์สิน กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์ด้วยนะครับ เพราะคนค่อนข้างเยอะ ถ้าอย่างไรเดินเที่ยวด้วยความไม่ประมาทนะครับ ^^ชอบร้านไหน ก็แวะชมร้านนั้น อากาศดีครับ ลมเย็น ไม่ร้อน เดินสบายๆ

นอกจากเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แล้วก็ยังมีของสะสม ของเล่น ของตกแต่งต่างๆ ตุ๊กตาน่ารักๆ ทั้งของเก่าของใหม่ ใครตาดีอาจเจอของหายาก ในราคาไม่แพงก็เป็นไปได้ครับ เดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็จะพบกับโซนของเก่า ซึ่งจะมีทั้งของตกแต่ง ของจุกจิก เฟอร์นิเจอร์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของมือสอง ของวินเทจ ย้อนยุค โซนนี้เรียกได้ว่าเป็น สัญลักษณ์สำคัญของ ตลาดนัดรถไฟ ตั้งแต่ที่เก่าแล้วนะครับมีทั้งของแต่งบ้านเก่าๆ เท่ๆ ถูกใจคนชอบแต่งบ้าน มีทั้งเฟอร์นิเจอร์วินเทจสวยๆหายาก หรือเฟอร์นิเจอร์ทำแบบย้อนยุค ใครกำลังอยากตกแต่งบ้าน ตกแต่งร้าน ก็สามารถมาเดินเลือกซื้อกัน ตุ๊กตาเก่า ของเก่า ของสะสม มีให้เลือกมากมายเช่นเคย

ด้านในก็ยังมี ร้านชากาแฟ ร้านขนม ร้านของกิน มีให้เลือกทานกันตลอดทางครับ เดินจนเหนื่อยก็แวะพักกันนะครับ หากใครที่ชื่นชอบของเก่า ของวินเทจ หรือชอบเดินตลาดนัดยามเย็น ชิลล์ๆ ไม่ร้อน เดินสบาย มีสินค้าให้เลือกจับจ่ายหลากหลาย ก็ขอแนะนำให้ลองมาเดินที่นี่กันนะครับ ตลาดนัดรถไฟ ศรีนครินทร์ ย้ายมาที่ใหม่ ไกลกว่าเดิม แต่ก็เดินทางไม่ยากครับ ^_^ ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมครับ 😀

รายละเอียด ตลาดนัดรถไฟ ศรีนครินทร์

ที่ตั้ง : ซอยศรีนครินทร์ 51 (หลังห้างซีคอนสแควร์) กรุงเทพฯ 10900
ติดต่อ : 081-827-5885, 081-732-8778, 081-752-5588 และ 087-978-0578
เวลา เปิด-ปิด : 15.00 น. – 24.00 น. (โซนตลาดนัด เปิดวันพุธและวันพฤหัสบดี // โซนพลาซ่า เปิดวันอังคาร – วันอาทิตย์)

ชมเพลิน ถนนคนเดินหนองคาย

อยู่กันในเมืองหนองคาย พอตกเย็นแดดร่มลมตก อากาศดีๆ แบบนี้ ก็ต้องหาโอกาสออกมาเดินเล่นชิลๆ ริมแม่น้ำโขงกันบ้าง แต่จะให้เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยก็คงจะไม่เก๋พอ ยิ่งเดี๋ยวนี้ทุกวันเสาร์เขาจัดให้มีถนนคนเดินริมน้ำโขง ก็ต้องไปเดินเก็บบรรยากาศให้อินเทรนด์ซักหน่อย
ยังอยู่กันในเมืองหนองคาย เมืองน่าอยู่อันดับ 7 ของโลก พอตกเย็นแดดร่มลมตก อากาศดีๆ แบบนี้ ก็ต้องหาโอกาสออกมาเดินเล่นชิลๆ ริมแม่น้ำโขงกันบ้าง แต่จะให้เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยก็คงจะไม่เก๋พอ ยิ่งเดี๋ยวนี้ทุกวันเสาร์เขาจัดให้มีถนนคนเดินริมน้ำโขงเริ่มต้นกันตั้งแต่ บริเวณท่าน้ำวัดหายโศกไปจนถึงท่าเสด็จ ซึ่งชาวบ้านก็จะทำอาหารพื้นเมืองสินค้าทำมือใครทำอะไรได้เอามาตั้งร้านขาย ไม่ใช่พ่อค้าอาชีพแต่เป็นคนหนองคายมาช่วยกันทำให้บ้านเมืองตัวเองคึกครื้น การโอภาปราศรัยพูดคุยจึงดูแตกต่างจากถนนคนเดินทั่วไปแถมวิวริมแม่น้ำก็สวย อีกต่างหาก เราจึงจะพาทุกคนไปเดินเล่นสำรวจกันซักหน่อย
สำหรับถนนคนเดินของจังหวัดหนองคายแห่งนี้ เพิ่งจะเปิดตัวกันไปได้ไม่นานนัก เรียกได้ว่าเป็นถนนคนเดินน้องใหม่เอี่อมอ่องก็คงไม่ผิดนัก ดังนั้นถ้าบางคนแปลกใจไม่เชื่อว่าหนองคายมีถนนคนเดินกับเค้าด้วยก็คงจะไม่ ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเค้าเพิ่งเริ่มเปิดทำการกันเมื่อช่วงปลายปี 55 ที่ผ่านมานี่เอง ทุกๆ วันเสาร์ช่วงเย็นๆ ตั้งแต่ 4 โมงเย็น แผงค้าต่างๆ ก็เริ่มทยอยกันจัดข้าวของ บางวันอาจจะเริ่มกันช้าหน่อยถ้าแดดยังร้อนอยู่ กว่าร้านค้าจะเต็มพื้นที่ดีก็น่าจะช่วงซัก 6 โมงเย็นไปแล้วนั่นแหละ และบรรดาพ่อค้าแม่ขายก็จะปฏิบัติการค้าเรื่อยไปจนค่ำๆ ซัก 4 ทุ่มก็ได้เวลาแยกย้ายสลายตัวพอดี ถ้าใครเคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวหนองคายแล้ว น่าจะพอนึกภาพทางเดินเท้าเลียบแม่น้ำโขงได้ดี ร้านรวงแผงลอยจะตั้งหันหน้าออกสู่แม่น้ำโขงเป็นระเบียบเรียบร้อย ตลอดระยะทางเดินราวๆ 500 เมตร ช่วงหัวถนนบริเวณชุมชนวัดหายโศกจะเน้นหนักไปทางร้านขายอาหารนานาชนิด ทั้งของกินเล่น และกินแบบจริงจังให้อิ่มกันเป็นมื้อๆ ถัดไปก็เริ่มเป็นสินค้าทำมือ งานฝีมือท้องถิ่น ของที่ระลึกต่างๆ ไปจนถึงสินค้าตามสมัยนิยมที่รับมาจากที่อื่น ซึ่งอาจจะดูไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่สำหรับคนเมืองอย่างเรา
แต่เสน่ห์อย่างหนึ่งของถนนคนเดินแห่งนี้ เราต้องยกให้กับลานกิจกรรมบริเวณท่าน้ำวัดหายโศก ที่ถูกเนรมิตให้กลายเป็นบรรยากาศแบบรำวงย้อนยุค เปิดตัวกันด้วยเวทีแสดงวงลูกทุ่งชุดใหญ่ พร้อมธงสีๆ เพิ่มบรรยากาศความคึกคัก พอได้เวลาดนตรีก็บรรเลงเพลงต่อเพลงแบบ not stop ส่วนลานโล่งหน้าเวที ก็กลายเป็นฟลอร์เต้นรำ ซึ่งชาวหนองคายขาแดนซ์ก็จะผลัดกันออกมาอวดลีลาเท้าไฟ ทั้งกลุ่มชมรมลีลาศที่จัดเต็มตั้งแต่หัวจรดเท้า หรือจะเป็นชมรมแอโรบิคที่รวมกลุ่มกันมาโชว์สเตปอย่างพร้อมเพียง ที่น่ารักอีกอย่างก็คือการเต้นในจังหวะบาสโลบแบบชาวลาว เห็นแล้วก็อดอมยิ้มไปกับความสนุกสนานตรงหน้าไม่ได้ ฟลอร์ริมน้ำแห่งนี้เปิดโอกาสให้ทุกคนร่วมแจมสเตปความมันส์กันได้แบบไม่มีหวง ตั้งแต่เย็นไปจนถึงเวลาปิดถนนกันเลยทีเดียว ส่วนเวทีอีกฝากของถนนคนเดินบริเวณหน้าป้ายพญานาคสองเศียร ก็จะมีการแสดงทางวัฒนธรรมจากเด็กๆ เยาวชนในหนองคายผลัดเปลี่ยนกันมาแสดงให้ชมทุกสัปดาห์ ใครรักชอบสไตล์ไหนก็เลือกกันได้ ส่วนเราขอยึดพื้นที่นั่งชมบรรยากาศรำวงย้อนยุค ดูพี่น้องชาวหนองคายออกสเตปลีลาศดีกว่า ยิ่งอากาศดีๆ ได้ลมเย็นๆ ริมแม่น้ำแบบนี้ รับรองว่าเพลินจนเผลอขยับเท้าไปตามจังหวะแบบไม่รู้ตัวกันเลย….ใครมาเที่ยว ที่หนองคาย อย่าลืมแวะมาเก็บบรรยากาศที่ถนนคนเดินแห่งนี้ให้ได้นะครับ
วิธีการเดินทาง
จากบริเวณน้ำพุพญานาคกลางเมืองหนองคายให้ใช้เส้นทางถนนประจักษ์ศิลปาคม มุ่งหน้าไปทางศาลากลางจังหวัดจากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนหายโศกบริเวณหน้า ศาลากลางจังหวัด เมื่อมาถึงบริเวณสี่แยก จะเห็นวัดหายโศกอยู่ตรงหัวมุมถนนด้านซ้ายมือ ให้ตรงข้ามแยกไป ถนนคนเดินจะเริ่มตั้งแต่บริเวณท่าน้ำของวัด นักท่องเที่ยวสามารถจอดรถได้ที่วัดหายโศก

 

ถนนคนเดินท่าแพ จ.เชียงใหม่

ถนนคนเดินท่าแพ เป็นถนนคนเดินที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ เป็นถนนคนเดินที่เปิดขายเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น โดยเปิดตั้งแต่ 18.00 – 22.00 น. ที่ตั้งของถนนคนเดินท่าแพ จะเริ่มจากประตูท่าแพ ยาวออกไปทางถนนราชดำเนิน จนถึงวัดพระสิงห์ รวมระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ในวันที่มีถนนคนเดิน ถนนจะปิดห้ามรถวิ่ง

การเดินทางมายังถนนคนเดินท่าแพ ง่ายสุดก็ให้นั่งรถแดงมาลงที่ประตูท่าแพ หรือถ้าอยู่ใกล้ฝั่งถนนสุเทพ ก็สามารถเดินจากฝั่งถนนสุเทพ มายังวัดพระสิงห์ฯได้ ถ้าเริ่มเดินจากฝั่งประตูท่าแพ ให้เริ่มที่ลานอเนกประสงค์ประตูท่าแพ ที่อยู่ตรงข้ามโรงแรมอิมม์ (imm hotel)

ของที่นำมาขายก็จะมีสินค้าพื้นเมือง เสื้อผ้า กระเป๋าลายแบบทางเหนือ หรือลายชาวเขา รูปภาพ งานฝีมือ อาหารพื้นเมือง ของกินเล่น เครื่องเงิน ของฝาก ของที่ระลึก ราคาสินค้าจะไม่แพงเหมือนตลาดไนท์บาร์ซ่าเพราะที่นั่นเน้นขายของให้กับชาวต่างชาติ นอกจากจะมีสินค้าหลายอย่างให้เลือกซื้อแล้ว ยังมีนวดแผนโบราณไว้บริการ ครึ่งชั่วโมง 80 บาท มีให้เลือกทั้งนวดตัว ไหล่ คอ นวดเท้า

ถนนคนเดินท่าแพมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ค่อนข้างเยอะโดยเฉพาะคนจีน พักหลักมานี้นิยมมาเที่ยวเชียงใหม่มาก ตามกระแสหนังเรื่อง Lost in Thailand

คำแนะนำในการเดินถนนคนเดินท่าแพ
ไม่ควรขับรถมาเพราะรถติดมาก หาที่จอดรถลำบาก ควรเดินทางด้วยรถแดง ช่วงเวลาที่เดินสบายที่สุดประมาณ 18.00 น. คนยังไม่เยอะมาก ในช่วงเวลา 19.00 – 20.00 น. จะมีคนเยอะมาก ในหน้าเทศกาลถึงกับต้องไหลตามกันไป ควรระวังกระเป๋า สิ่งของมีค่าให้นำมาสะพายไว้ด้านหน้าจะปลอดภัยกว่า

เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์

บอกเลยก็แล้วกันว่าสถานที่แห่งนี้ก็คือ “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” (Asiatique The Riverfront) ที่ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง และอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นแหล่งชอปปิ้งและแฮงเอาต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ก็เนื่องจากเป็นแหล่งรวบรวมร้านค้ามากมาย มีทั้งของใช้ ของฝาก เสื้อผ้า และอื่นๆ อีกมากมาย แถมยังมีร้านอาหารทั้งเล็กและใหญ่ให้เลือกชิมแบบนานาชาติ ที่สำคัญก็คือ บริเวณที่ตั้งนั้นอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้บรรยากาศการเดินเล่นเป็นแบบสบายๆ ได้ชมทิวทัศน์งามๆ ของแม่น้ำ นั่งเล่นรับลมเย็นๆ แบบเพลินๆ
dlzxfg2tjr-800x532
อย่างที่ฉันบอกไว้ว่าพื้นที่แถบนี้มีประวัติความเป็นมายาวนาน ซึ่งก็เริ่มตั้งแต่การเป็นที่ตั้งของ “วัดพระยาไกร” ที่ถูกยกฐานะขึ้นเป็นวัดหลวงในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่ต่อมากลายเป็นวัดร้างไป จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “ถนนเจริญกรุง” และยังมีการเปิดบริการรถรางไฟฟ้าบนถนนเจริญกรุงอีกด้วย

ภายหลังจากมีสนธิสัญญาเบาว์ริง ทำให้สยามเกิดการค้าเสรี และมีบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนมากมาย โดยบริษัท อีสต์เอเชียติก (เดิมชื่อ บริษัท แอนเดอร์เซ่น แอนด์ โค) เข้ามาสร้างท่าเรือและโรงเลื่อย ณ บริเวณวัดพระยาไกรที่กลายเป็นวัดร้างไปแล้ว โดยระหว่างก่อสร้างนั้นก็ต้องขนย้ายพระพุทธรูปที่เหลืออยู่ในวัดไปยังวัดสามจีน ระหว่างขนย้ายพระพุทธรูปองค์ใหญ่เกิดอุบัติเหตุลวดสลิงขาด องค์พระตกกระแทกพื้นอย่างแรง ปูนที่หล่อทับอยู่ด้านนอกกะเทาะออก เผยให้เห็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งต่อมาขนานนามกันว่า “หลวงพ่อทองวัดไตรมิตร”

ท่าเรือของบริษัท อีสต์เอเชียติก เป็นท่าเรือที่สำคัญและทันสมัยที่สุดในเวลานั้น มีการนำเครื่องจักรขนาดใหญ่เข้ามาในสยามเป็นจำนวนมาก มีปั้นจั่นรางเลื่อนพลังงานไฟฟ้า และตัวโกดังเก็บสินค้ายังเป็นโครงสร้างเหล็ก แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของท่าเรือในสมัยนั้น จนในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา กองทัพญี่ปุ่นได้เข้ามายึดท่าเรือและคลังสินค้าของบริษัท อีสต์เอเชียติก เพื่อใช้เป็นฐานกำลังและคลังแสง ซึ่งในปัจจุบันยังคงได้เห็นรางรถขนแร่ และหลุมหลบภัยสมัยสงครามโลก

asiatique-9

จากความหลังครั้งวันวาน มาจนถึงเมื่อปี 2555 มีการปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่โรงเลื่อย โกดัง และท่าเรือของบริษัท อีสต์เอเชียติก ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ โดยยังอนุรักษ์ร่องรอยต่างๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ พร้อมสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ที่ผสมผสานกันจนเป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัย และกลายมาเป็น เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ในทุกวันนี้

แหม.. ยืนอ่านประวัติเขาเสียนาน ฉันว่ามันถึงเวลาที่เราต้องออกเดินกันแล้ว แต่ถ้าใครกลัวจะหลง เพราะพื้นที่เขากว้างขวาง ก็เดินมาสำรวจแผนที่บริเวณทางเข้ากันก่อนก็ได้ ที่นี่ เขาจะแบ่งพื้นที่เป็นย่านต่างๆ โดยจำลองความรุ่งโรจน์ของธุรกิจบนถนนเจริญกรุงในยุครัชกาลที่ 5 มาให้ชม

เริ่มจากบริเวณทางเข้าโครงการ (จากฝั่งถนนเจริญกรุง) ตรงนี้เขาเรียกกันว่า “ย่านเจริญกรุง” ซึ่งด้านหน้าสุดจะเห็น “หลุมหลบภัย” ซึ่งเป็นของเก่าตั้งแต่สมัยสงครามโลก หากเดินเข้ามาจะเห็นร้านอาหารต่างๆ มีร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว ของตกแต่งบ้าน มีโรงภาพยนตร์ 4 มิติ โรงภาพยนตร์ โรงละคร และโชว์สวยๆ จากคาลิปโซ คาบาเรต์

20130731153304

เดินตรงเข้าไปด้านในเรื่อยๆ จะมาถึง “ย่านกลางเมือง” ที่รวบรวมอาหารอร่อยจากนานาชาติ ให้นั่งดื่มกันในบรรยากาศสบายๆ และเป็นกันเอง และยังมีพื้นที่กิจกรรมกลางแจ้ง ที่จะหมุนเวียนกันจัดกิจกรรมตามเทศกาลต่างๆ อย่างวันที่ฉันไปนี้ก็เริ่มเข้าสู่บรรยากาศของเดือนแห่งความรักแล้ว ก็เลยมีการจัดกิจกรรมจำลองสวนแห่งความรักของจูเลียต มาไว้ให้เข้าไปชม ไปถ่ายรูป มีของที่ระลึกขาย และที่สำคัญยังมีกุญแจคู่รักให้เข้าไปคล้องไว้กับรั้วรอบๆ สวน ให้บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรักเสียจริงๆ

เลี้ยวมาซ้ายมืออีกนิด ก็จะเป็น “ย่านโรงงาน” บริเวณนี้จะเป็นพื้นที่พบปะสังสรรค์ และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจหลังเลิกงาน เนื่องจากได้รวบรวมร้านอาหาร ผับ และร้านขายสินค้าแฟชั่น ของประดับตกแต่งไว้มากมาย ยิ่งในช่วงพลบค่ำแล้วก็ยิ่งน่ามาเดินหรือนั่งเล่นแถบนี้มาก เพราะแต่ละร้านจะประดับประดาไฟสีสันสวยงาม เปิดเพลงจังหวะต่างๆ เคล้าคลอไปด้วย

ย่านสุดท้ายของที่นี่ก็คือ “ย่านริมน้ำ” เป็นจุดที่ฉันชอบที่สุด เพราะได้ชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาแบบพาโนรามา มานั่งดูสีสันของท้องฟ้าที่แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแสงตะวัน และเมื่อพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นสีสันของแสงไฟ ทั้งจากในโครงการ และจากฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สะท้อนแสงลงบนน้ำดูระยิบระยับ

อีกจุดหนึ่งที่ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเอเชียทีค ก็คือ “เอเชียทีค สกาย” ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่เป็นจุดดึงดูดสายตาของทุกคน ไม่ว่าจะเดินทางมาทางรถ (ถนนเจริญกรุง) หรือทางเรือ (แม่น้ำเจ้าพระยา) ก็สามารถมองเห็นชิงช้าขนาดยักษ์เด่นเป็นสง่า ซึ่งถ้าได้ขึ้นไปด้านบนก็จะสามารถชมทิวทัศน์กรุงเทพฯ ในมุมสูงได้แบบรอบตัว

Image (1).jpg

แวะชิมของอร่อยจากหลายๆ ร้านจนอิ่มแน่นกระเพาะ แถมสองไม้สองมือยังเต็มไปด้วยถุงชอปปิ้งที่มีทั้งของกิน ของใช้ และของฝาก ฉันก็เริ่มเหนื่อยเต็มที ขาก็ล้า เริ่มจะก้าวไม่ออกแล้ว คืนนี้ก็เลยขอไปตบท้ายด้วยการขึ้นชิงช้าสวรรค์ “เอเชียทีค สกาย” นั่งพักผ่อนชมกรุงเทพฯ ที่ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟ ก่อนจะกลับบ้านนอนด้วยความสุขใจ

3.jpg